เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ม.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทำไมถึงต้องฟังเทศน์ ? ฟังเทศน์คือฟังเรื่องของตัวเองนี่แหละ เรื่องของเรานี่แหละ แต่เรามองข้ามกันไป ทุกคนเวลาเกิดขึ้นมา เห็นไหม ในครอบครัวเดียวกันจะร้องเรียนตลอดว่าพ่อแม่ไม่รัก ปู่ย่าตายายไม่รัก แต่ความจริงจะเป็นอย่างนั้นไหมล่ะ ? พ่อแม่ไม่รัก แต่เพื่อนรักนะ เวลาเพื่อนรักนะ เพื่อนมันหลอก เพื่อนมันลวง เพื่อนมันเอาไปต้มตุ๋น เพื่อนมันรัก แต่พ่อแม่ไม่รัก เห็นไหม มองข้ามไป

นี่ก็เหมือนกัน มองข้ามไง มองข้ามความเป็นจริงของเรา ทีนี้พอเรื่องของตัวเอง เวลาเทศน์เทศน์เรื่องของบุคคลคนนั้น ถ้าเรื่องของบุคคลคนนั้นนะ เรื่องของเรานี่แหละ แต่เรามองข้ามไปไง เรามองข้ามแต่สิ่งภายนอก เราต้องการสิ่งภายนอก เพราะคิดว่าภายนอกนั้นมันเป็นความจริง แต่ความจริงคือตัวเรานะ

เวลาเราจะเข้าไปเที่ยวในป่า ถ้าไปเจอหลุมทรายดูด ไปเจอแบบที่หลุมดูด มันจะดูดเรา แล้วเราติดอยู่ที่นั่นเลย ไปดูดอกไม้สิ ดอกไม้ที่มันกินสัตว์ เวลามันหลอกลวง มันมีกลิ่น แมลงนึกว่าเป็นอาหาร พอเข้าไปนะ มันหุบ มันหุบแล้วมันกินสัตว์นั้นเป็นอาหาร นี่พูดถึงว่าหลุมทรายดูดนะ เราเข้าไปติดกับแล้วเราพยายามจะเอาตัวรอด เพราะเราเห็นโทษของมัน เราจะเสียชีวิตไปกับสิ่งนั้น

แต่เวลากิเลสมันดูดเรา เราเกิดมานี่เรามีอวิชชา ความรู้สึกนึกคิดของเรามันดูดเราไว้ ถ้ามันดูดเราไว้เราไม่เข้าใจ พอเวลามันดูดเราไว้ เห็นไหม นี่ตกหลุมทรายดูด เรารู้ว่าเป็นโทษถึงกับชีวิตได้ ถ้ามันดูดไปนะ มันจะหมดอากาศหายใจ มันจะทำให้เราเสียชีวิตเลย อย่างนั้นเราจะมีความตกใจมาก เราพยายามจะวิ่งเต้น เราพยายามจะหาทางออก แต่เวลากิเลสมันดูดมันไม่รู้ตัว มันยิ่งดูดมันยิ่งดี มันยิ่งมีความพอใจ มันดูดขนาดไหนนะเราไม่รู้หรอก นี่อวิชชามันร้ายนัก มันทำลายเราโดยที่เราไม่รู้ตัว

แต่สิ่งที่เป็นความจริงล่ะ สิ่งที่เป็นความจริง เห็นไหม คำว่า “อวิชชา” นี่ฟังธรรม ๆ ฟังธรรมเพราะเหตุนี้ไง ฟังธรรมเพื่อจะเตือนตัวเอง เตือนตัวเองให้เรามีสติปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา สิ่งที่เราศึกษานี่ต้องศึกษานะ เวลาพระเรามีปัจจัยเครื่องอาศัย พระเวลาบวช มีบาตร มีจีวร มีน้ำดองมูตรเน่า มีที่อยู่อาศัย ปัจจัย ๔ นี้ขาดไม่ได้

ฉะนั้น คนเราเกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน คำว่า “หน้าที่การงาน” นี้ไม่ใช่กิเลสนะ คนเกิดมานี่ชีวิตนี้มีค่าไหม ? ชีวิตนี้มีค่ามาก เพราะมีชีวิตถึงมีสถานะ มีตำแหน่งหน้าที่การงาน มีสิทธิตามกฎหมายเพราะมีชีวิต ฉะนั้น ชีวิตนี้มีค่ามาก ถ้าชีวิตมีค่ามาก ขณะที่ว่ามีค่ามากเราต้องเลี้ยงชีวิตไว้ ชีวิตนี้เราอยู่ได้เพราะเหตุใดล่ะ ? อยู่ได้เพราะปัจจัย ๔ อยู่ได้เพราะอาหาร ฉะนั้น เราหาสิ่งนี้เพื่อดำรงชีวิตนี่ไม่ผิดหรอก ไม่ผิด ไม่ใช่กิเลสหรอก

แต่สิ่งที่มันเกินกว่านั้นไปสิ สิ่งที่เกินกว่านั้น สิ่งที่เราดำรงชีวิตมันก็ดำรงชีวิตแล้ว แต่เราแสวงหา เราต้องการถมความพอใจของเรา อันนั้นเป็นกิเลส ความพอใจนะ ความพอใจ ตัณหาความทะยานอยากเป็นกิเลส แต่ปัจจัยมันไม่เป็นกิเลส คำว่า “ไม่เป็นกิเลส”

ทีนี้หน้าที่การงาน เราต้องมีหน้าที่การงานของเรา ทีนี้หน้าที่การงานของเรา คนจะทำงาน ถ้าไม่มีปัญญาจะทำงานได้ไหม ? คนต้องมีปัญญา ต้องมีสติปัญญา มีเชาวน์ปัญญานะ คำว่า “เชาวน์ปัญญา” มีปฏิภาณไหวพริบ คำว่า “ปฏิภาณ” อันนี้เกิดจากบารมี

ปฏิภาณบางคนนะ เด็กบางคนจะมีเชาวน์ปัญญาดีมาก แล้วบางทีเด็กบางคนนี่เชาวน์ปัญญาดีมาก พอโตขึ้นมาเชาวน์ปัญญานั้นอ่อนด้อยลง บางคนตอนเด็กเชาวน์ปัญญานี่อ่อนด้อยมาก พอโตขึ้นมาเชาวน์ปัญญาจะดีมาก อันนั้นเพราะเหตุใดล่ะ

เห็นไหม ชีวิตของเราลุ่ม ๆ ดอน ๆ เดี๋ยวสูง เดี๋ยวต่ำ หลวงตาท่านเปรียบเหมือนเราขับรถไปบนถนน ถนนมันมีถนนที่ต่ำ ถนนที่สูง เวลาขึ้นเขา ถนนเราขึ้นเขา เวลาเราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ เขาบอกว่า “เราทำสิ่งนั้นไม่ได้เลย เราจะไม่มีความสามารถเลย” เวลาเราปีนขึ้นไปบนเขา เขาสูงขนาดไหนนี่เราท้อใจนะ เวลาไปอยู่บนยอดเขา เรายืนอยู่บนยอดเขา เราทำของเราได้ เราตั้งใจของเราได้ ฉะนั้น ชีวิตมันลุ่ม ๆ ดอน ๆ ฉะนั้น เราต้องมีการศึกษา ต้องมีหน้าที่การงานของเรา มีหน้าที่การงานเพื่อดำรงชีวิต

พระเราดำรงชีวิต อย่าไปคุ้นชินกับมันนะ ถ้าคุ้นชินกับมัน สิ่งใดถ้าคุ้นชินแล้วมันจะเหยียบย่ำเรา แต่ถ้าเราตื่นตัวตลอดเวลา เราไม่ประมาทกับมัน สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับเราตลอดไป ถ้าเราตั้งสติของเราไว้ เวลาเราพุทโธของเรานี่ชัดเจนมาก แต่ถ้าเราคุ้นชินกับมันนะ “โอ๋ย ! เคยทำประจำ ของนี้ของง่าย ๆ” ง่าย ๆ เดี๋ยวก็นั่งหลับแล้ว แต่ถ้าเราตื่นตัวตลอดเวลา เราไม่คุ้นชินกับเขา นี่มันจะตื่นตัวตลอดเวลา ถ้าไม่คุ้นชินกับสิ่งใด สติมันจะพร้อม เพราะความคุ้นชินนั้นมันทำให้กิเลสมันกลืนไปหมดเลย

“หลุมทรายดูด” หลุมทรายดูดนะมันดูดคน คนจะเห็นโทษของมัน แต่กิเลสตัณหาของเรามันดูด ทั้ง ๆ ที่เกิดมานี่เราเกิดมาเป็นอริยทรัพย์ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมานี่มีค่ามาก ชีวิตนี้มีค่ามาก แต่ถ้าเราปลดเปลื้องอันนี้ได้มันจะไม่มีไฟสุมขอนในหัวใจนะ

เราจะมีหน้าที่การงานสูงส่งขนาดไหน เราจะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจไม่ยกเว้น ทุกดวงใจ ฉะนั้น “ทุกดวงใจ” เราก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าเราเป็นหนึ่งในนั้น เราก็หาความมั่นคงของเรา ความมั่นคงของเรานะ ถ้ามั่นคงสิ่งนี้คือมั่นคงแล้วเราอบอุ่น แต่ถ้ามันว้าเหว่ ยิ่งมั่นคงขนาดไหนนะ เวลาเราพลัดพรากจากสิ่งนั้นเราจะเสียดายมาก

เห็นไหม เราถึงมาเสียสละ มาฝึกหัดกันอยู่นี่ การฝึกหัดคือการเสียสละ การเสียสละนั้นเราไม่ยึดติดสิ่งใด เราพยายามฝึกหัด ฝึกหัดด้วยการเสียสละวัตถุก่อน แล้วก็พยายามฝึกหัด พยายามเสียสละอารมณ์ความรู้สึกที่มันเจ็บช้ำน้ำใจ อะไรที่มันฝังใจเราพยายามจะฝึกหัดเสียสละมันได้ไหม ? ไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันมียางเหนียว มีตัณหาความทะยานอยากอยู่

สิ่งใดเป็นความสุขความรื่นเริง มันอยู่กับเราแป๊บ ๆ นะ สิ่งใดที่มันเจ็บช้ำน้ำใจนี่มันอยู่นานมาก ผลักไสก็ไม่ไป แต่ถ้าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์มันไม่เอา นี่หลุมทรายดูด มันดูดแต่สารพิษไว้ให้เรา เราต้องมีสติปัญญา

เราเกิดเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธนะ พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อว่าคนนั้นจะให้ลาภ ให้สักการะ ให้ต่าง ๆ เรา เราเชื่ออำนาจวาสนาของเรา เราเชื่อคุณงามความดีของเรา เราเชื่อการกระทำของเรา เห็นไหม “ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก” เวลาทำขึ้นไปแล้วเรารู้ของเราเอง เราเหนื่อยยากมาก็หาเงินหาทองมาเพื่ออาหาร เราเหนื่อยยากมาเราก็หาสิ่งต่าง ๆ มาเพื่อดำรงชีวิต ใครเขาจะให้เรา

แต่เราทำของเรามานะ แต่ถ้ามีอำนาจวาสนาใช่ไหม มีคนนั้นเมตตา มีคนนั้นแนะนำ มีคนนั้นคอยชี้นำ มีคนนั้นคอยดูแล อันนี้มันเป็นเรื่องอำนาจวาสนาของคน บางคนทำเหนื่อยยากเกือบตาย ไม่มีใครดูแลเลย ปากกัดตีนถีบของมันไปคนเดียว...ก็เราทำมาอย่างนี้ ก็เราทำมาเอง มีสิ่งใดก็บอกให้คนนั้นไม่ได้ เสียสละให้ใครไม่ได้ จิตใจเราคับแคบเราก็เป็นแบบนี้ แต่ถ้าจิตใจเรากว้างขวาง พอจิตใจเรากว้างขวาง เราเสียสละของเรา เราทำของเรา

เขาบอกว่า “เสียสละทำไม คนนี้โง่ ไม่รู้จักเก็บของตัวเองไว้” เก็บเอาไว้มันเป็นวัตถุ แต่หัวใจมันไม่ได้สิ่งใดขึ้นมา เสียสละออกไป หัวใจมันเบิกบาน มันชื่นบาน มันชื่นบานของมันนะ แต่เสียสละด้วยปัญญานะ ต้องเสียสละด้วยปัญญา

เวลาเทวดาถาม “ควรทำบุญที่ไหน ?”

“เธอควรทำบุญที่เธอพอใจ”

“แล้วถ้าเอาผลล่ะ ?”

นี่มีปัญญาตรงนี้ไง ถ้าเอาผล ผลต้องวัดกันที่คุณภาพของดิน คุณภาพของดิน ถ้าเราปลูกธัญพืชต่าง ๆ ถ้าดินมันดี น้ำดี อากาศดี ปุ๋ยดี มันเจริญงอกงาม แต่ถ้าคุณภาพของดินแย่มาก เราปลูกขนาดไหนนะ เราเองต้องรดน้ำพรวนดิน ต้องใส่ปุ๋ย พยายามจะให้มันขึ้นมันก็ไม่ขึ้น นี่ถ้าเราเสียสละต้องมีปัญญา

เราเสียสละเพื่อเหตุใด เสียสละเพื่อทำไม ถ้ามีปัญญาของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา มันชุ่มชื่นขึ้นมา ฉะนั้น ทำขึ้นมา มันถึงเวลาเราปากกัดตีนถีบ ถ้าเราเหนื่อยยากขึ้นมา อำนาจวาสนาของคนเป็นอย่างหนึ่ง แต่ทุกคนต้องทำเองทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถจะเอาความทุกข์ ความเจ็บช้ำน้ำใจของเราออกไปจากใจเราได้ มีแต่ปลอบประโลมกัน “มันก็เป็นอนิจจัง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

“อ้าว ! ผ่านไปแต่ฉันเจ็บ คนบอกมันไม่เจ็บ”

“เดี๋ยวก็ผ่านไป เดี๋ยวก็เป็นอนิจจัง”

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรามานะ “โอ้โฮ ! เอ็งนี่โง่ คิดทำไม” เพราะเราคิดเห็นไหม เหมือนแผลนี่ไปสะกิดมันทำไม ถ้าเราไม่สะกิดมันนะ ทำไมถึงเป็นแผล ความคิดมันเกิดจากอะไร ? ความคิดมันก็เกิดจากจิต ถ้ามันเกิดจากจิตนี่มันผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมา มันทำไมถึงผุดล่ะ ถ้ามันเป็นคุณงามความดี เวลามันผุดขึ้นมา ดูสิเวลาฟองอากาศมันผุดขึ้นมามันยังเป็นประโยชน์ มันมีออกซิเจนต่าง ๆ ให้ปลามันได้มีความชุ่มชื่นของมัน

นี่เหมือนกัน เวลามันผุดออกมา มันผุดออกมามีสติปัญญา มันผุดมามันมีสิ่งใดมาล่ะ ถ้าเป็นอวิชชา สิ่งที่ไม่มีคุณงามความดี เราก็ปฏิเสธ เราก็ปัดทิ้งได้ แต่ถ้ามันผุดออกมามันเป็นออกซิเจน มันเป็นสิ่งที่เป็นปุ๋ย เป็นประโยชน์กับชีวิต มันเป็นประโยชน์ เราก็ตรึกในธรรม พอตรึกในธรรมนะ “ชีวิตนี้ อืม ! เราก็มีคุณค่า เราก็มีศักยภาพ เราก็ไม่ใช่คนทุกข์จนเข็ญใจจนเกินไป” เห็นไหม มันก็ทำให้เราชุ่มชื่นหัวใจ ทำให้การประพฤติปฏิบัติ...

ประพฤติปฏิบัตินะ “คนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร”

ดูเศรษฐีโลก เศรษฐีของประเทศไทย เขาเป็นเศรษฐีมาเพราะอะไร คำว่า “เศรษฐี” เพราะว่าเขาทำ เขามีความมุมานะของเขา เขามีสติปัญญาของเขา เขาไม่ได้เป็นเศรษฐีเพราะว่าเขานอนฝันแล้วตื่นขึ้นมาเป็นเศรษฐี ไม่มีหรอก เป็นเศรษฐีเขาต้องทำคุณงามความดีของเขา แล้วทำแล้วต้องมีสติปัญญาของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราก็มีสติปัญญาของเรา ในเมื่อมันเจ็บช้ำน้ำใจนัก ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่มันฝังหัวใจนัก เราก็ใช้ปัญญาใคร่ครวญของเรา สิ่งที่เกิดมานี่เกิดมาเพราะอะไรล่ะ ? ทำไมต้นไม้ของเราออกผลเป็นพิษทั้งนั้นเลย หัวใจของเราทำไมออกผลแต่เป็นพิษ ทำไมไม่ออกผลเป็นทุเรียน ออกผลเป็นผลไม้ที่หอมหวานบ้างล่ะ ทำไมมันไม่ออกผลอย่างนั้น ถ้าไม่ออกผลอย่างนั้นเราก็มีสติปัญญาสิ เราก็ใส่ปุ๋ยของเรา เราทำทานของเรา เราตั้งสติของเรานะ เราต้องการให้ต้นไม้ของเรามันออกผลเป็นผลไม้ที่หอมหวานบ้าง ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา อืม ! เห็นไหม มันจะหอมหวาน

“สุขสิ่งใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

เราวิ่งเต้นกัน เห็นไหม ดูสิ ปีใหม่เขาไปพักผ่อนกัน เขาไปต่างประเทศ เขาไปดวงจันทร์ เขาไปดาวอังคาร เขาก็กลับมาทุกข์ที่บ้านเขาอย่างเก่านั่นน่ะ เขาไปกลับมาแล้วเขาก็มาทุกข์นะ เขาไปดวงจันทร์กัน เขาไปเที่ยวอวกาศกันเดี๋ยวนี้ กลับมาแล้วต้องไปใช้หนี้ กู้เขาไปเที่ยว นี่มันก็เป็นทุกข์ ทำไมมันเป็นทุกข์อย่างนั้นล่ะ นี่พูดถึงเขาแสวงหาจากข้างนอก

แต่ถ้ามันสุขมันสงบ มันสงบนะ สดชื่น ไม่เป็นหนี้ เวลากลับบ้านไปแล้วก็ชุ่มชื่น เพราะอะไร เพราะเราไปฟื้นฟูจิตใจเราจริง ๆ เพราะว่าถ้าจิตใจมันผ่อนคลาย ปัญญามันก็เกิด ทำสิ่งใดมันก็ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าปัญญาเราอ่อนด้อย ใครมาพูดสิ่งใดเราก็เชื่อเขาไปหมด แล้วทำสิ่งใดโดยการตัดสินใจของเราก็คลาดเคลื่อน

โดยการตัดสินใจของเรานะ การตัดสินใจ การดูแลมันเป็นเวรกรรมของคนนะ ทำไมเราตัดสินใจมันถูกต้องไปหมด ทำไมเราตัดสินใจแล้วมันผิดพลาดไปหมด มันผิดพลาดอย่างไรนะ นี่เราก็มาพิจารณาของเรา

“สิ่งใดที่ทำไปแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย”

สิ่งไม่ดีเลย ทำไมทำล่ะ ? ทำเพราะขาดสติยั้งคิด เพราะวินิจฉัยด้วยความผิดพลาด เราก็มาไตร่ตรองของเรา เห็นไหม นี้หน้าที่การงานทางโลกนะ แต่หน้าที่การงานภายในหัวใจมันเร็วกว่านี้เยอะมาก เวลาคนภาวนาไปนะ บอกความคิดมันเร็วมาก พอเร็วมากขนาดไหน สติปัญญามันเร็วกว่าความคิด มันถึงเอาความคิดหยุดนิ่งได้ ความหยุดนิ่งได้นี่เป็นสมาธิ แล้วเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากจิตที่มันนิ่งอยู่

สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด...แสง การเดินทางของแสง การเดินของความคิด ความคิดนี่เราคิดรอบโลก ๕ รอบ เรายังนั่งอยู่นี่เลย พั่บ ! พั่บ ! พั่บ ! พั่บ ! ๕ รอบ แล้วถ้ามีสติมีปัญญาให้ความคิดนี้หยุดนิ่ง ความคิดหยุดนิ่ง แล้วเวลามันเกิดปัญญา เกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่เข้าไปถอดถอนสิ่งที่เป็นต้นไม้พิษ

ต้นไม้พิษมันออกผลมาแล้วเราถึงเจ็บช้ำน้ำใจ แต่ก่อนที่มันจะออก ก่อนที่มันจะออกนี่มันหยั่งเข้าไปในหัวใจ มันหยั่งเข้าไปบนต้นไม้นั้น มันไปแยกแยะบนต้นไม้ นี่คือปัญญาไง นี่คือการแยกแยะนะ แยกแยะพิจารณาของเรา

ธรรมที่เรามาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้ เราจะพ้นจากหลุมทรายดูด เราจะพ้นจากกิเลสที่มันดูดหัวใจเราที่หมักหมมไว้นี่ เวรกรรมของคน มันเป็นเวรกรรมนะ เวรกรรมหมายถึงทำแล้วสิ่งนั้นมันประสบผล เรามีสติปัญญานะ เราทำจิตใจเราให้มันสดชื่น สะบัดหน้าแล้วกัดฟันสู้ไป ของของเรา คนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร คนเราจะล่วงพ้นวิกฤตเหตุการณ์ที่เราจะต้องแก้ไขด้วยสติปัญญาของเรา

ชีวิตนี้มีค่ามาก หนีไม่ได้ ยิ่งหนีไปนะ ปัญหานั้นไม่ได้แก้ ปัญหาไม่ได้แก้ หนีไปกรรมมันก็ตามไป ไม่มีจบหรอก มันต้องแก้ให้จบ ถ้าแก้ให้จบ แก้ด้วยอะไร ? แก้ด้วยสติ ด้วยปัญญา เราคุยกันได้ เราพูดได้ เราเคลียร์ได้ เคลียร์ปัญหา แล้วให้จิตใจนี้มันผ่องแผ้ว ถ้าจิตใจไม่ผ่องแผ้วนะ เราก็ย้อนกลับมาเพื่อทำงานภายในของเรา

ถ้างานภายใน...ชีวิตนี้คืออะไร ? เวลาเกิดเกิดจากท้องแม่ แล้วถ้าไม่มีปฏิสนธิจิต ไข่ สเปิร์ม ไข่ แล้วปฏิสนธิจิตมันอยู่ที่ไหน ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้เกิดอย่างไร แล้วถ้ามันไม่เกิด ไม่เกิดอย่างใด มันไม่เกิดอย่างใด ทำไมถึงไม่เกิด ? เราต้องรู้แจ้งหมดนะ แล้วเราจะพ้นจากหลุมทรายดูด หลุมทรายดูดที่ดูดแล้วซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่นี่ เราจะพ้นจากสิ่งนี้ได้ด้วยสติปัญญาของเรา ด้วยความเข้มแข็งของเรานะ

เราเป็นชาวพุทธ นี่ฟังเทศน์ เทศน์เรื่องจิตใต้สำนึกของเรานี่ แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดเรายังไม่ทันมันนะ แล้วจิตใต้สำนึก ภวาสวะ ภพในกลางหัวอก ถ้าเรารื้อค้นเข้าไป ถ้าถอนตรงนี้หมด เราจะเข้าใจธรรมะที่พระพุทธเจ้าเทศน์หมดเลย แต่เพราะความไม่เข้าใจของเรา ปัญญาของเรามันโต้แย้งไง มันเป็นอดีต อนาคตล่วงหน้าไป หรือตามไม่ทัน แล้วเราก็ละล้าละลัง

แต่ถ้าเราทำนะ...เพราะธรรมะมีหนึ่งเดียว สัจธรรมมีอันเดียว ผู้ใดที่ล่วงพ้นทุกข์ได้ พ้นทุกข์ด้วยอริยมรรคเหมือนกัน มีหนึ่งเดียว แล้วเราก็มีโอกาส ทรัพย์ภายนอกเราก็แสวงหา ถ้าใครมีสติปัญญาจะแสวงหาอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน เพื่อจะพ้นจากกิเลส เอวัง